ทฤษฎีบุคลิกภาพของ
อีริคสัน อีริคสัน (Erik
Erikson)
ประวัติ
ประวัติErik H. Erikson เป็นนักจิตวิทยาคลินิก
เกิดที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน เมื่อปี 1902 หลังจากที่เข้าเกิดไม่นานพ่อก็แยกจากแม่เขาไป ต่อมา Theodor
Homburger ได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม หนังสือของเขาที่พิมพ์ก่อนปี
ค.ศ. 1939 จะปรากฏว่าเขาใช้ชื่อ Erikson Homburger ต่อมาเขาได้ใช้นามสกุลเดิมมาต่อท้ายชื่อจึงเป็น Erik H. Erikson
Erik H. Erikson ได้รับยกย่องเป็นศาสตราจารย์ในวิชาพัฒนาการมนุษย์จากมหาวิทยาลัย Harvard งานเขียนของเขาเป็นที่แพร่หลาย มีการนำไปแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ มากมาย
Erik H. Erikson ได้รับยกย่องเป็นศาสตราจารย์ในวิชาพัฒนาการมนุษย์จากมหาวิทยาลัย Harvard งานเขียนของเขาเป็นที่แพร่หลาย มีการนำไปแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ มากมาย
Erik H. Erikson ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ
ขั้นที่
1 ความไว้วางใจ หรือความไม่ไว้วางใจ (Trust versus Mistrust)
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก - 1ขวบ
อีริควันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้
ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก ถึงเวลาให้นมก็ควรจะให้และปลดเปลื้องความเดือดร้อน
ไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น
หากวัยนี้ความต้องการไม่ได้รับความใส่ใจจากผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูแล้ว
เด็กก็จะมีพัฒนาการทางลบ คือ เกิดความไม่ไว้วางใจในคนใกล้ตัว
เนื่องมาจากความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองหรือความละอาย สงสัย (Autonomous versus Shame and Doubt)
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองหรือความละอาย สงสัย (Autonomous versus Shame and Doubt)
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้
สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายการช่วยให้เด็กมีความอิสระ
พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ
เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
แต่หากพ่อแม่ไม่ปล่อยให้ลูกมีอิสระได้อย่างที่ควรจะเป็นในช่วงนี้
เด็กจะมีพัฒนาการไปในทางที่ไม่มีความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
ขั้นที่ 3 ความเป็นผู้คิดริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative versus Guilt)
ขั้นที่ 3 ความเป็นผู้คิดริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative versus Guilt)
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี
อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเอง จากจินตนาการของตนเอง
การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ
จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์
ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่
ซึ่งวัยนี้เป็นวัยที่สามารถกระตุ้นให้เด็กมีจินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้ในอนาคต
แต่หากพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูคอยว่ากล่าวดุด่าในสิ่งที่เด็กวัยนี้ได้คิดขึ้นมา
เด็กก็จะเกิดความรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง
และเป็นการยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไปโดยปริยาย
ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรหรือความรู้สึกมีปมด้อย (Industry versus Inferiority)
ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรหรือความรู้สึกมีปมด้อย (Industry versus Inferiority)
อีริคสันใช้คำว่า Industry กับเด็กอายุประมาณ 6-12
ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและทางด้านร่างกาย
อยู่ในขั้นที่มีความต้องการที่จะทำอะไรอยู่เหมือนไม่เคยว่าง
หากการพัฒนาในขั้นนี้สะดุด เด็กจะเกิดความรู้สึกด้อยค่าในตนเองและมองว่าตนเองไม่มีประโยชน์ในสังคมเท่าที่ควร
ขั้นที่ 5 ความมีเอกลักษณ์ของตนเองหรือความสับสนไม่เข้าใจตนเอง (Identity versus Role Confusion)
ขั้นที่ 5 ความมีเอกลักษณ์ของตนเองหรือความสับสนไม่เข้าใจตนเอง (Identity versus Role Confusion)
อีริคสันกล่าวว่า
เด็กในวัยนี้ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะรู้สึกตนเองว่า
มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง
ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งหญิงและชาย
เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศและบางคนเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในวัยนี้จะสามารถพัฒนาการให้รู้จักอัตลักษณ์ของตนเอง มีแบบฉบับของตนเองได้สมบูรณ์หากได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
หากพัฒนาการมีการสะดุด ก็จะทำให้คนในวัยนี้เกิดความไม่เข้าใจ
ไม่รับรู้ในบทบาทของตนเองที่ถูกต้องในสังคม
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy versus Isolation)
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy versus Isolation)
วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น (Young Adulthood) เป็นวัยที่ทั้งชายและหญิงเริ่มที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร
เป็นวัยที่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน
รวมทั้งสามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย
และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจที่จะแต่งงานมีบ้านของตนเอง
หากพัฒนาการขั้นนี้สะดุด ก็จะทำให้คนในวัยนี้รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว
ไม่สามารถหาใครเคียงข้างได้
ขั้นที่ 7 ความรู้สึกรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่หรือความเฉื่อยชา (Generativity versus Stagnation)
ขั้นที่ 7 ความรู้สึกรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่หรือความเฉื่อยชา (Generativity versus Stagnation)
อีริควันอธิบายคำว่า Generativity ว่าเป็นวัยที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วไป
หรือเป็นห่วงเยาวชนรุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป
คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนที่ไม่แต่งงาน ถ้าเป็นครูก็สอนลูกศิษย์
ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทำงานทางด้านศาสนา
เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนรุ่นหลังเป็นคนดีต่อไป พูดอีกอย่างคือ
เป็นขั้นที่จะพัฒนาให้ตนมีความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ถ้าพัฒนาผิดพลาด
ก็จะทำให้บุคคลในวัยนี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแทน
ขั้นที่ 8 ความรู้สึกมั่นคงในชีวิตและความสิ้นหวัง (Ego Integrity versus Despair)
ขั้นที่ 8 ความรู้สึกมั่นคงในชีวิตและความสิ้นหวัง (Ego Integrity versus Despair)
วัยนี้เป็นระยะบั้นปลายของชีวิต ฉะนั้น
บุคลิกภาพของคนวัยนี้มักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา
ผู้มีอาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทำดีที่สุด
ยอมรับว่าตอนนี้แก่แล้วและจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิตของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย
ยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ถ้าเกิดว่าพัฒนาการที่ผ่านๆ
มามีไม่เต็มที่แล้ว ในวัยนี้จะรู้สึกหมดอาลัย และท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิตที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น